เมนู

ชื่อว่า ปสาทกาย. พึงทราบปสาทกายแม้ในบทนี้ต่อไป. จริงอยู่ ปสาทกายนั้น
ย่อมเป็นไปโดยความเป็นวัตถุทวารตามสมควรแก่กายวิญญาณเป็นต้น. ก็วิญ-
ญาณทั้งหมดที่เรียกว่า มโน ก็จริง แม้ถึงอย่างนั้น พึงทราบว่า ภวังค์
พร้อมด้วยอาวัชชนะเป็นทวาร เพราะในที่นี้ท่านประสงค์เอาความเป็นทวาร.
บทว่า เอตานิ ยสฺส ทฺวารานิ อคุตฺตานิ จ ภิกฺขุโน ความว่า
ภิกษุใดไม่ปิดทวารอันมีใจเป็นที่ 6 เหล่านี้ด้วยประตู คือ สติ เพราะถึงความ
ประมาทโดยปราศจากสติ. บทว่า โภชนมฺหิ ฯเปฯ อธิคจฺฉติ ความว่า
ภิกษุนั้น ไม่รู้ประมาณในโภชนะตามนัยที่กล่าวแล้ว และเว้นการสำรวมใน
อินทรีย์ทั้งหลาย ย่อมถึงความทุกข์ด้วยประการทั้งปวง คือ ทุกข์กาย ใน
ปัจจุบันด้วยโรคเป็นต้น และในภพหน้าต้องเข้าถึงทุคติ ทุกข์ใจ ด้วยถูกกิเลส
มีราคะเป็นต้นแผดเผา และด้วยความริษยาและความแค้น. เพราะเป็นอย่างนั้น
ฉะนั้น บุคคลเช่นนั้นมีกายถูกไฟทุกข์แผดเผา มีใจถูกไฟทุกข์แผดเผาทั้งใน
โลกนี้และในโลกหน้า ย่อมอยู่เป็นทุกข์ ตลอดกาลเป็นนิจทั้งกลางวันทั้งกลางคืน
ไม่มีอยู่อย่างเป็นสุข ไม่จำต้องพูดถึงในการไม่ล่วงทุกข์ในวัฏฏะกันละ.
จบอรรถกถาปฐมภิกขุสูตรที่ 1

2. ทุติยภิกขุสูตร


ว่าด้วยผู้ประกอบด้วยธรรม 2 ประการอยู่เป็นสุข


[207] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว พระสูตรนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับ
มาแล้วว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม 2 ประการ ย่อมอยู่

เป็นสุข ไม่มีความเดือดร้อน ไม่มีความคับแค้น ไม่มีความเร่าร้อนในปัจจุบัน
เมื่อตายไปพึงได้สุคติ ธรรม 2 ประการเป็นไฉน คือ ความเป็นผู้คุ้มครอง
ทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย 1 ความเป็นผู้จักประมาณในโภชนะ 1 ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม 2 ประการนี้แล ย่อมอยู่เป็นสุข ไม่มีความ
เดือดร้อน ไม่มีความคับแค้น ไม่มีความเร่าร้อน ในปัจจุบัน เมื่อตายไปพึง
หวังได้สุคติ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า
ภิกษุได้คุ้มครองดีแล้วซึ่งทวารเหล่า
นี้ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
รู้จักประมาณในโภชนะ และสำรวมใน
อินทรีย์ทั้งหลาย ภิกษุนั้นย่อมถึงความสุข
คือ สุขกาย สุขใจ ภิกษุเช่นนั้นมีกาย
ไม่ถูกไฟ คือ ความทุกข์แผดเผา มีใจ
ไม่ถูกไฟ คือ ความทุกข์ แผดเผา ย่อมอยู่
เป็นสุขทั้งกลางวันกลางคืน.

เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้า
ได้สดับมาแล้ว ฉะนั้นแล.
จบทุติยภิกขุสูตรที่ 2
ในภิกษุสูตรที่ 2 พึงทราบความโดยตรงกันข้ามกับที่กล่าวแล้ว.

3. ตปนียสูตร


ว่าด้วยธรรม 2 อย่างเป็นเหตุให้เดือดร้อน


[208] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว พระสูตรนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับ
มาแล้วว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม 2 ประการนี้ เป็นเหตุให้เดือดร้อน
2 ประการเป็นไฉน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้ไม่ได้
ทำความดีงามไว้ ไม่ได้ทำกุศลไว้ ไม่ได้ทำบุญอันเป็นเครื่องต่อต้านความ
ขลาดกลัวไว้ ทำแต่บาป ทำอกุศลกรรมอันหยาบช้า ทำอกุศลกรรมอันกล้าแข็ง
บุคคลนั้นย่อมเดือดร้อนว่า เราไม่ได้ทำกรรมงามดังนี้บ้าง ย่อมเดือดร้อนว่า
เราทำแต่บาปดังนี้บ้าง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม 2 ประการนี้แล เป็นเหตุ
ให้เดือดร้อน.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า
บุคคลผู้มีปัญญาทราม กระทำกาย-
ทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต และอกุศล-
ธรรมอย่างอื่น อันประกอบด้วยโทษ ไม่
กระทำกุศลธรรม กระทำแต่อกุศลธรรม
เป็นอันมาก เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงนรก.

เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้า
ได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล.
จบตปนียสูตรที่ 3